เราพบเขาครั้งแรกโดยบังเอิญในงานแฟร์ของคอกาแฟ Bangkok Coffee Cult เมื่อปีที่แล้ว ผู้ชายแต่งตัววินเทจ เจ้าของร้านกาแฟย่านเยาวราช ฉายา ‘เอ๊ะเองนักเลงบาร์ หมาป่าเมืองนนท์’ แนะนำตัวอย่างสุขุมว่าเขาเป็นนักเลงผู้ไม่นิยมตีกับใคร แค่หลงใหลในกาแฟ หนังสือของ’ รงค์ วงษ์สวรรค์ กับดนตรีแจ๊ซเท่านั้น แผ่นแสียงที่กำลังหมุนติ้วของ John Coltrane อยู่นี่ก็ด้วย
บ่ายวันนั้น เป็นอีกวันที่นอกจากกาแฟชื่อประหลาดจากนิยายของเขาจะอร่อยเป็นบ้า เท้าได้กระดิกตามจังหวะเพลง บทสนทนามากมายยังเกิดขึ้นอย่างเมามันระหว่างคน 4 – 5 คน ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในบูธกาแฟเล็กๆ ตรงนั้น เมื่อลาจากกัน เราตั้งใจว่าจะต้องตามหานักเลงบาร์คนนี้ให้พบอีกครั้งแน่นอน

01
เยือนถิ่นหมาป่า
‘เอ๊ะ – ชนุดม พึ่งน้อย’ อยู่หลังบาร์กาแฟมานานร่วม 10 ปี เปิดร้านกาแฟมาแล้วหลายแห่ง และเป็นร้านที่ทำให้คนจดจำได้ ทั้งฝีไม้ลายมือการทำกาแฟ จนถึงความเป็นกันเองเยี่ยงมิตรสหายของเขา แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว เขาตัดสินใจวางมือกับมันด้วยเหตุผลบางประการ แล้วมุ่งหน้ากลับมาเปิดร้านกาแฟที่บ้านของตัวเอง เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่พาเรามายืนอยู่หน้าบ้านย่านเมืองนนท์ของนักเลงบาร์จนได้ในอีก 1 ปี ถัดมานั่นเอง
หมาป่าเมืองนนท์ต้อนรับหมาป่าคอนกรีตอย่างเราในบ้านของเขา มีโต๊ะกลาง 1 โต๊ะ เก้าอี้ไม่เกิน 5 ตัว ข้างหลังเป็นบาร์แคบๆ อาจเรียกไม่ได้ว่าเป็นร้าน แต่เป็น ‘บ้าน’ บ้านอาศัยจริงๆ ที่ขายกาแฟไปด้วยมากกว่า
ภาพต้นตระกูลแผนอยู่บนผนัง เขาเล่าว่าอากงอาม่าเปิดร้านขายกาแฟอยู่ในตลาดเก่า อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง พร้อมกับการโตมาในบ้านคุณป้าที่ตอนเช้าขายกาแฟโบราณ ตกบ่ายขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดในบริเวณบ้านของครอบครัว ความชอบในกาแฟของเขาจึงเริ่มต้นขึ้นจาก Home Cafe ยุคบุกเบิกของคุณป้ามาตั้งแต่นั้น
“การใช้ชีวิตแบบนี้มันดีตรงที่ว่าตื่นมาก็มีงานให้ทำแล้ว เห็นคนในบ้านทำมาหากินกันมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ลูกหลานของคุณป้าก็ยังขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดอยู่ในที่ดินเดิมของปู่ย่า บางทีคนเราอาจแค่ต้องการทำอะไรไปอย่างเดียว แต่ทำให้ดีก็ได้นะ”
“ผมเป็นเด็กที่ชอบกินกาแฟมากกว่าโอวัลติน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เริ่มดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร จนกระทั่งช่วงใกล้จะเรียนจบ ผมกับแม่เปิดร้านกาแฟด้วยกันชื่อว่า Bangkok Blues อยู่หน้าปากซอยนี้เอง ช่วงนั้นเราพักอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ จึงเริ่มจากการเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ด้วยไอ้เครื่องนี้นี่แหละ” เขาชี้ให้เราดูเครื่อง Espresso Machine ที่ใช้มากว่า 10 ปีแล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังใช้อยู่

“ลองนึกถึงปี 2552 ยุคนั้น เราชงกาแฟด้วยความรู้เดิม คือเข้มอย่างเดียว ไม่เข้มแสดงว่าชงไม่เก่ง เมล็ดก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ผมกับแม่ทำอยู่ได้ประมาณปีครึ่ง ผมก็เรียนภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ จบพอดี แม่บอกให้ลองหางานประจำทำก่อนมั้ย เดี๋ยวกาแฟค่อยว่ากันมาใหม่ตอนที่เราแข็งแรงกว่านี้ ผมก็เลยไปทำงานข่าวบันเทิง เป็นพนักงานออฟฟิศอยู่ 4 ปี เพื่อจะมีเงินเดือนและหาประสบการณ์ในระบบก่อน แต่ตลอด 4 ปีนั้น ผมกลับบ้านมาชงกาแฟตลอดเลยนะ เพราะอุปกรณ์ทุกอย่างยังอยู่ครบ เก็บไว้ฝึกพัฒนาทักษะตัวเองตลอด เริ่มหาเมล็ดกาแฟมาทดลอง หาความรู้ใหม่ๆ มองย้อนกลับไปว่าตอนที่เริ่มมันอาจจะเร็วไป แต่ตอนนั้นโลกแห่งกาแฟแม่งมาแล้วว่ะ”
ครอบครัวเขาซื้อบ้านหลังนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว นักเลงบาร์จึงกลับมาขายกาแฟอีกครั้งในรูปแบบเคาน์เตอร์เล็กๆ หน้าบ้าน ทำงานประจำในวันธรรมดา วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็มาขายกาแฟ
“ขายอยู่นานจนผมเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตมันควรจะไปให้ถูกทางได้แล้ว จึงตัดสินใจลาออกจากงาน หางานกาแฟทำจริงจัง บังเอิญว่าตอนนั้นเพื่อนที่เปิดร้านกาแฟอยู่แถวสุขุมวิทรับสมัครคนพอดี ผมเลยไปเป็นบาริสต้าที่นั่น”
“ทำไมถึงอยากไปเป็นลูกจ้างเขาก่อน ทั้งที่คุณชงกาแฟเป็นอยู่แล้ว” เราถาม
“ผมอยากได้ความรู้พื้นฐานของกาแฟในสมัยใหม่ก่อน เพราะผมเชื่อว่าเราจะรู้อะไรจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้ลงมือทำ ความรู้กับทักษะเป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้ ต้องหาเอาเอง”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘Sentimental Cafe’ เกิดขึ้นครั้งแรกในซอยพญานาค จากการรวมตัวของกลุ่มคนรักกาแฟและแจ๊ซ จนกระทั่งย้ายร้านไปอยู่ย่านเยาวราชได้กว่า 1 ปี และปิดตัวลงเมื่อปลายปีที่แล้ว เราสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เขาออกจากเกมธุรกิจที่กำลังไปได้ดีอย่างนั้น
“เอ้า! วันนี้จะกินอะไร เลือกได้หรือยังล่ะครับ?”

02
นักเลงกลับใจ
ว่ากันว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเลงกลับใจก็คือผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงที่มีอิทธิพลมากพอคนนั้นก็คือ ‘แม่เอง นักเลง Mom’
“หลังจากปิดร้าน ผมก็กลับบ้าน กะว่าจะขอเวลาคิดอะไรสักพักก่อน ระหว่างนั้นจัดบ้านไป คิดไป ชงกาแฟกินไป คิดไปคิดมา เออเห้ย บ้านมันก็มีฟังก์ชั่นของมันดีนะ เลยบอกแม่กับพี่สาวว่าจะลองขายกาแฟที่บ้านก่อน ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อ ตอนแรกแม่เขาก็บอกว่าจะทำได้หรอ บ้านเราออกลึกลับ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเวิร์กหรือเปล่า ถ้าไม่ลองทำก่อน แต่โชคดีว่าคนมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้านเลย เขาบอกว่าเขารู้จักผมจากไอจี เห็นว่าผมขายกาแฟที่บ้าน บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก เลยลองแวะมา ผมคิดว่า ถ้าวันแรกมันคือลูกค้าจริงๆ แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จักกันมาก่อน เขายังมากินได้ มันก็คงไม่มีพรมแดนอะไรแล้ว”
“ทำไมคุณถึงวางมือ ในขณะที่กิจการกำลังไปได้ดี” ในที่สุด เราก็ต้องถามสิ่งที่สงสัย
“ผมแค่รู้สึกพอกับมัน ก็เท่านั้น” เขาตอบขณะกำลังทำกาแฟด้วยเครื่อง Espresso ตัวนั้นให้เรา “ตอนทำ Business มันไปได้ดีก็จริง แต่ต้องแลกอะไรไปหลายอย่าง แลกความเป็นมนุษย์ไปด้วยซ้ำ”
“ผมไม่ได้กินข้าวกับแม่เป็นปี แม้แต่ตัวเองยังไม่มีเวลากินข้าวเลย เรื่องนี้มันเกินกว่าความเศร้าแล้ว มันคือความทุเรศ เพราะตราบใดที่เรารู้ว่างานยังไม่เสร็จ ร้านยังไม่ปิด ผมก็ยังอยากรับผิดชอบกับมันอยู่ อาจเป็นที่ตัวผมที่มองเรื่องความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากกว่าปริมาณ เป็นคนที่คาดหวังกับสิ่งที่ทำด้วยมั้ง”

“แล้วมันก็เป็นจังหวะที่ดีที่จะได้ทำอะไรใหม่ๆ เรียบง่ายขึ้น เบาสบายขึ้น มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าตรงนี้เป็นกำไรมหาศาลเลย เพราะแม่ผมอายุเยอะแล้ว ผมอยากมีเวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด”
“สุดท้ายความสุขของผมไม่ได้อยู่ที่เงินอย่างเดียว เพราะเงินซื้อเวลาไม่ได้ ซื้ออายุขัยของมนุษย์ไม่ได้ ซื้อสิ่งที่เสียไปแล้วก็ไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะอยู่กับอะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่เติมเต็ม Spiritual ภายในของตัวเองให้สมบูรณ์กว่าเดิมดีกว่า”
“เราอาจไม่ต้องไปกระเหี้ยนกระหือรือเพื่อที่จะทำการค้าให้ได้มากๆ กำไรเยอะๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมว่าเวลาให้ตัวเองก็สำคัญ ถ้าเราทำแต่งานอย่างเดียว จนแม้กระทั่งว่าตัวเองยังคุยกับตัวเองไม่ได้เลย ผมมองว่านี่ก็ผิดแล้ว ผมปรับความคิดใหม่ คิดแบบคนโบราณ คือทำเพื่อให้มีชีวิตอยู่ และการมีชีวิตอยู่ของเราก็ยังมีเวลาให้กับคนรอบข้างหรือคนที่เรารักได้” เหตุผลของการกลับบ้านถูกเปิดเผยแล้ว…

‘นักเลงบาร์ หมาป่าเมืองนนท์’ กาแฟชื่อเดียวกันกับชื่อร้านมาเสิร์ฟแล้ว มันเป็นกาแฟครีมนมแน่นๆ ที่ ‘อร่อยเป็นบ้า’ แก้วเดียวกันกับตอนได้ชิมครั้งแรกนี่แหละ
“คุณว่าการกลับบ้านจะยั่งยืนได้จริงหรือเปล่า” เราถาม
“ถามว่ายั่งยืนหรือเปล่า สังขารน่ะ ไม่ยั่งยืนอยู่แล้ว แต่มันมีความยั่งยืนในอาชีพ แค่เราต้องทำไป ทำเรื่องที่ตัวเองถนัด แล้วอย่าเลิกทำ จังหวะนี้ให้ระลึกไว้ว่าเรากำลังมีความสุขหรือเปล่ากับการทำแบบนี้ ถ้าสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นสุข สิ่งนั้นมันจะออกมาดีเท่ากับสุขที่เราเป็นอยู่ตอนนั้นนี่แหละ”
“การกลับมาอยู่ตรงนี้ สำหรับผมไม่ได้มองว่าเป็นการถอยหลังนะ ผมเดินหน้าอยู่ เพียงแค่เดินหน้าในรูปแบบอื่นเท่านั้น”

03
หลักไมล์
เครื่องเล่นแผ่นเสียงยังหมุนติ้วอยู่เหมือนเดิม เครื่องชงกาแฟตัวเดิมจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นักเลงคนเดิม เพิ่มเติมคือความเบาสบายขึ้น เมื่อการกลับบ้านรู้สึกสบาย กาแฟก็ต้องสบายขึ้นตามความรู้สึกของคนชงเช่นกัน เขาจึงคิดเบลนด์ขึ้นมาใหม่ โดยใช้โรงคั่ว Karo ที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ทำร้านกาแฟร้านแรก คั่วเบลนด์ใหม่ที่เขาให้ชื่อมันว่า ‘Milesstone’
“มันมาจากชื่อเพลง Milesstone ของ Miles Davis ที่มีด้วยกัน 2 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นแรกเล่นโดย Chalie Parker ที่เขาจะเล่นสไตล์ Bebop Jazz แต่ Miles Davis เอามาเล่นในยุค Modal jazz ยุคเเรกๆ ที่ถูกคิดค้นขึ้นมา ซึ่งจะเล่นแบบโครงสร้างไม่ใหญ่ ไม่ได้เน้นความซับซ้อน แต่เรียบง่ายมากขึ้น ผมชอบฟังทั้ง 2 เวอร์ชั่นเลย”
“เคยมีลูกค้าที่ทำงานด้านวิศวรรมบอกผมว่า Milesstone สำหรับวิศกร หมายถึงวันกำหนดที่เขาจะเทปูนเพื่อวางฐานรากของสิ่งก่อสร้างหรืออาคารใดๆ คำนี้จึงหมายถึงฐานรากที่แข็งแรงในงานวิศกรรมด้วยเหมือนกัน”
“ผมชอบความหมายของ Milesstone ที่แปลว่าหลักไมล์สำคัญของการเดินทาง ผมเองผ่านการเดินทางมา 10 ปี มันน่าจะต้องไปให้ถึงจุดหมายจริงๆ ได้แล้ว ซึ่งก็คือการทำร้านแบบนี้ ร้านที่ไม่ต้องเร่งรีบ”


“บางคนมาถามผมว่า ‘คุณคิดว่าทำเเบบนี้แล้วจะได้อะไร’ ผมบอกเขาว่าไม่ได้อะไร ผมแค่มีความสุข ผมถามเขากลับบ้างว่า ‘แล้วคุณรู้สึกยังไงล่ะ’ เขาก็บอกว่าเขารู้สึกดี ผมเลยบอกเขา ‘นี่แหละ ผมรู้สึกดีที่คุณรู้สึกดี’ เป็นความสุขที่ผมไม่ต้องมองเรื่องยอดขายเลยด้วยซ้ำ บางทีชีวิตมันถึงจังหวะต้องอิมโพรไวส์ มันก็ต้องด้นสดเดี๋ยวนั้นเลย”
“คุณเคยคิดจะเลิกเป็น ‘นักเลงบาร์ หมาป่าเมืองนนท์’ บ้างมั้ย” เราถาม
“คิดว่าเลิกไม่ได้ (หัวเราะ) แม่ผมเป็นครูสอนศิลปะ ผมอยู่ในพื้นที่ของศิลปะมาตลอด ถ้ามีโอกาสเราจะทำงานออกมา หนัง งานเขียน แต่งเพลง เพ้นติ้ง งานศิลปะของผมวันนี้คือกาแฟ ขนม ทุกอย่างที่คุณเห็นทั้งหมดที่นี่คือการสื่อสารในแบบของผม”
“เพลงบลูส์ (Blues) เป็นต้นกำเนิดของดนตรีทุกอย่าง กาแฟก็เหมือนกัน มีต้นกำเนิดจากการชงเป็นกาแฟดำ แล้วถึงจะต่อยอดไปเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าจะทำกาแฟมากี่ร้าน สิ่งที่จะอยู่กับเราเสมอคือกาแฟกับเพลง เพราะนี่คือสิ่งที่ผมรัก”
สิ่งที่เรารู้จากเขาอย่างหนึ่งคือนักเลงบาร์ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่มันคือตัวเขา ไม่ว่าจะย้ายไปเมืองกรุงหรือกลับเมืองนนท์ มันก็ยังเป็นตัวเขา
ถ้าวันนั้นนักเลงบาร์ไม่ได้ตัดสินใจกลับบ้าน เขาอาจจะรวยกว่านี้ เป็นนักธุรกิจในแวดวงกาแฟมากกว่านี้ และคงไม่ได้มีความสุขเท่าวันนี้…

นักเลงบาร์ (Nugleng Bar)
37/105 หมู่บ้านเปี่ยมสุข ทัสคานี ซอยติวานนท์-ปากเกร็ด 22 ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี
โทร. 083 – 266 – 4714
เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 18.00 น. (เช็ควัน – เวลากับพี่เอ๊ะได้ตลอดที่เพจ Facebook : https://www.facebook.com/nuglengbar/ พี่เขาใจดี ไม่ดุ!)